หัวข้อ
- จุดมุ่งหมายและวิธีการใช้ยาสลบ
- การให้ยาดมสลบ
- การให้ยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ
- ใช้วิธีฉีดยาชา
- การฝังเข็ม
- การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาขณะได้รับยาดมสลบ
จุดมุ่งหมายและวิธีการใช้ยาสลบ
จุดมุ่งหมาย การให้ยาดมสลบ การใช้ยาชาฉีดเข้าทางช่องกระดูกสันหลัง การให้ยาชาเฉพาะที่ หรือการฝังเข็ม มีจุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียว คือ ทำให้ผู้ป่วยปราศจากความรู้สึกเจ็บปวดขณะได้รับการผ่าตัดทุกชนิด
วิธีการ จำแนกออกเป็น ๔ แบบ คือ ๑. ให้ยาดมสลบ (inhalation anesthesia) ๒. ใช้ยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ (intravenous anesthesia) ๓. ใช้ยาชา (regional analgesia) ๔. วิธีฝังเข็ม (acupuncture) [กลับหัวข้อหลัก] |
การให้ยาดมสลบ
มีอยู่ ๒ วิธี คือ
๑. แบบหยด จะใช้อีเทอร์ เป็นยาดมสลบ อุปกรณ์ที่ต้องมีคือ หน้ากาก (mask) ซึ่งมีผ้ากอซ (gauze) หุ้มไว้ประมาณ ๔-๕ ชั้น และขวดยาอีเทอร์ สำหรับหยดลงบนหน้ากากให้ผู้ป่วย สำหรับใช้กับเด็กซึ่งทำผ่าตัดสั้นๆ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผู้ใหญ่ เพราะจะต้องใช้เวลานานที่จะทำให้หลับ ข้อเสียของวิธีนี้คือ (๑) ทำให้ยาสลบกระจายฟุ้งทั่วห้อง บุคคลที่อยู่ในห้องจะต้องสูดเอายาสลบเข้าไปด้วย (๒) ผู้ถูกดมยาสลบโดยวิธีนี้จะสูญเสียความร้อนออกจากร่างกายมากถึง ๓๐๐ แคลอรีต่อเวลา ๑ นาที (๓) ทำให้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คั่งในตัวผู้ป่วยได้ ดังนั้นวิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบันนี้ ๒. แบบใช้เครื่องดมยาสลบ จากเครื่องดมยาสลบ เราสามารถควบคุมจำนวนออกซิเจน ก๊าซไนทรัสออกไซด์ และไอระเหย (vapor) ของยาดมสลบตัวอื่นๆ ได้ ในระดับที่จะทำให้ผู้ป่วยหลับตามที่เราต้องการ มีท่อยางต่อออกจากเครื่องดมยาสลบนำออกซิเจนและยาดมสลบที่เป็นก๊าซหรือไอระเหยไปสู่คนไข้ลักษณะท่อยางที่ใช้แตกต่างกันในเด็กและผู้ใหญ่ คือ ในเด็กเล็กจะมีแค่ ๑ ท่อ เรียกระบบนี้ว่า นอนรีบรีทิง (non-rebreathing) ส่วนในผู้ใหญ่จะมีท่อต่อจากเครื่องดมยานำเอายาสลบและออกซิเจนไปสู่ผู้ป่วยตอนหายใจเข้า และลมหายใจออกก็จะกลับออกทางท่อหายใจออกเข้าไปสู่ภาชนะที่มีโซดาไลม์ (sodalime) สำหรับดูดเอาคาร์บอนไดออกไซด์ ออกจากลมหายใจออก อากาศดีและยาดมสลบจะกลับเข้าผู้ป่วยทางท่อหายใจเข้าอีก ก๊าซที่ผู้ป่วยหายใจเข้าและออกนี้จะไม่มาผสมกันเพราะมีลิ้นปิดเปิด (valve) ซึ่งยอมให้ก๊าซผ่านไปได้ทางเดียว (one way) การใช้เครื่องดมยานี้มีข้อดีคือ (๑) สะดวก (๒) สามารถควบคุมระดับการดมยาสลบให้ตื้นหรือลึกได้ตามความต้องการ โดยการเปิดก๊าซให้ออกได้ตามความเข้มข้นที่ต้องการ (๓) สามารถควบคุมการหายใจของผู้ป่วยระหว่างดมยาสลบไม่ให้มีคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง และ (๔) อากาศเสียหรือก๊าซ ที่ออกมาทางลมหายใจออกของผู้ป่วยก็สามารถต่อท่อออกไปทิ้งข้างนอกได้ ข้อเสียของวิธีนี้ก็คือเครื่องดมยาราคาแพงมาก [กลับหัวข้อหลัก] |
|
การให้ยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ
ในรายผ่าตัดสั้น ๆ เช่น ทำความสะอาดแผลที่ถูกน้ำร้อนลวก ไฟไหม้ หรือตัดไหมหลังผ่าตัดในเด็กเล็ก อาจใช้ยา
๑. เคตามีน (Ketamine) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เพื่อทำให้ผู้ป่วยหลับชั่วคราว ถ้าใช้ฉีดเข้าหลอดเลือดฤทธิ์จะอยู่นานประมาณ ๑๐ นาที แต่ถ้าฉีดเข้ากล้ามซึ่งต้องใช้ขนาดสูงกว่าที่ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ๓ - ๔ เท่า ผู้ป่วยจะหลับอยู่นานประมาณ ๒๐-๓๐ นาที สำหรับให้ทำแผลได้ ข้อเสียของการใช้ยานี้คือ ทำให้ความดันโลหิตขึ้นสูง หัวใจเต้นเร็วขึ้น และมีฝันร้ายซึ่งอาจติดตัวผู้ป่วยอยู่นานเป็นเดือน ๒. การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำมีจุดประสงค์ที่ดีอย่างหนึ่งคือใช้เป็นยานำสลบ เพื่อให้ผู้ป่วยหลับเร็ว ผ่านระยะของความตื่นเต้นไปได้เร็วมาก แล้วต่อจากนั้นก็อาจให้หลับต่อด้วยยาฉีด และหรือยาดมสลบตัวอื่น ยานำสลบที่นิยมใช้ ก็คือไทโอบาร์บิทูเรท ขนาด ๔-๕ มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว ๑ กิโลกรัม การให้ยาทางหลอดเลือดนี้ ทำได้ลำบากในเด็กเล็ก แต่ใช้ได้ผลดีในเด็กโตและผู้ใหญ่โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด เช่น ฉีดยาชาที่กลุ่มประสาทบริเวณกึ่งกลางเหนือกระดูกไหปลาร้า หรือที่รักแร้ (brachial plexus block) จะทำให้เกิดการชาที่แขนและมือ หรือฉีดยาชาที่เส้นประสาทโคนขา(femoral) บริเวณขาหนีบ ก็จะทำให้เกิดการชาบริเวณขาที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทนี้ เป็นต้น ๓. ยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำที่นิยมนำมาใช้เพื่อทำให้คนไข้หลับหรือใช้ร่วมกับยาดมสลบ ก็คือยาพวก ยาง่วงซึม(narcotic) ได้แก่ มอร์ฟีน เฟนตานีล และเมเปอริดีน (meperidine) ๔. พวกยากล่อมอารมณ์ (tranquilizer) ได้แก่ ไดอาซีแพม (diazepam) และ โดรเปอริดอล (droperidol) ๕. นอกจากนี้การผ่าตัดบางชนิดจะทำได้สะดวกและง่าย ถ้าทำในขณะที่กล้ามเนื้อหย่อนตัวมากๆ ดังนั้นวิสัญญีแพทย์จำเป็นจะต้องฉีดยาหย่อนกล้ามเนื้อให้ผู้ป่วย ยาหย่อนกล้ามเนื้อที่นิยมใช้กันอยู่คือ ซัคซินีลคอลีน ดี - ทูโบคูรารีน แพนคูโรเนียม อัลโลเฟอรีน และกัลลามีน (succinylcholine, d-tubocurarine,pancuronium, alloferine และ gallamine) เป็นต้น เมื่อใดที่ต้องใช้ยาหย่อนกล้ามเนื้อ จะต้องใส่ท่อหายใจให้ผู้ป่วย และช่วยการหายใจ ด้วยการบีบลูกโป่งหรือใส่เครื่องช่วยหายใจ การใส่ท่อหายใจนี้ จะใส่ไว้ในหลอดลมหลังจากผู้ป่วยหลับ ยกเว้นบางรายที่มีปัญหาของการใส่ท่อหายใจยากหรือรายที่ต้องเสี่ยงภัยต่อการสำลักอาหารเข้าหลอดลม ก็จะต้องใส่ท่อหายใจขณะที่ผู้ป่วยยังตื่นอยู่ [กลับหัวข้อหลัก] |
ใช้วิธีฉีดยาชา
ใช้วิธีฉีดยาชา ด้วยวิธีนี้ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกคล้ายเป็นเหน็บชาและหมดความรู้สึกเจ็บในบริเวณที่ให้ยาชา วิธีการฉีดและชนิดของยาชา ต้องเลือกใช้ตามความเหมาะสม แล้วแต่ชนิดและระยะเวลาของการผ่าตัด ๑. การฉีดยาชาที่บริเวณหรือรอบๆ บริเวณที่ผ่าตัดโดยตรง วิธีนี้จะใช้ยาชาในขนาดความเข้มข้นต่ำ เช่น ไลโดเคน ๐.๕% หรือ บิวปิวาเคน ๐.๒๕-๐.๕% ถ้าต้องการใช้ยาชาเป็นจำนวนมาก ต้องผสมยาที่ออกฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดตีบตัวลงไปในยาชาด้วย เพื่อช่วย
(๑) ลดการดูดซึมของยาชาเข้ากระแสโลหิต (๒) ลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการให้ยาชาเกินขนาดและ (๓) ทำให้ยาชาออกฤทธิ์ได้นานกว่าปกติด้วย ๒. การฉีดยาชาบริเวณเส้นประสาทหรือกลุ่มประสาท วิธีนี้จะใช้ยาชาที่มีความเข้มข้นปานกลาง เช่น ไลโดเคน ๑.๕-๒% หรือบิวปิวาเคน ๐.๕-๐.๗๕% ผสมกับยาที่ทำให้หลอดเลือดตีบตัว เมื่อยาชาซึมเข้าไปสัมผัสกับเยื่อหุ้มประสาทจะออกฤทธิ์ปิดกั้นการนำความรู้สึกผ่านเส้นประสาทหรือกลุ่มประสาทนั้นๆ ทำให้เกิดการชาขึ้นเป็นบริเวณกว้างตลอดแนวที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทหรือกลุ่มประสาทนั้น สามารถทำการผ่าตัดได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด เช่น ฉีดยาชาที่กลุ่มประสาทบริเวณกึ่งกลางเหนือกระดูกไหปลาร้า หรือที่รักแร้ (brachial plexus block) จะทำให้เกิดการชาที่แขนและมือ หรือฉีดยาชาที่เส้นประสาทโคนขา(femoral)บริเวณขาหนีบ ก็จะทำให้เกิดการชาบริเวณขาที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทนี้ เป็นต้น ๓. การฉีดยาชาเข้าช่องไขสันหลัง มีวิธีทำได้ ๒ วิธี คือ ฉีดยาชาที่มีความเข้มข้นปานกลาง เช่น ไลโดเคน ๑.๕%หรือ บิวปิวาเคน ๐.๕-๐.๗๕% เข้าสู่ช่องรอบนอกน้ำไขสันหลัง (epidural block) หรือฉีดยาชาที่มีความเข้มข้นมาก เช่น ไลโดเคน ๐.๕% ๑-๒ ซี.ซี. เข้าในช่องน้ำไขสันหลัง (subarachnoid block) จุดที่ฉีดยา คือที่ช่องกระดูกสันหลังตรงตำแหน่งที่ต้องการ โดยวิธีนี้คนไข้จะมีอาการชาที่ขาทั้งสองข้าง ระดับการชาจะสูงขึ้นมาถึงบริเวณหน้าท้อง สามารถทำการผ่าตัดบริเวณขาและบริเวณหน้าท้องส่วนล่างได้ เช่น การผ่าตัดไส้เลื่อน และการผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้อง เป็นต้น ๔. การฉีดยาชาเข้าหลอดเลือดดำเฉพาะที่ (Bier'sblock) จุดที่ฉีดยาคือ หลอดเลือดดำบริเวณหลังมือ หรือหลังเท้า ในขณะที่รัดต้นแขน หรือต้นขาไว้แน่น เพื่อทำให้เกิดอาการชาหมดความรู้สึกเจ็บปวดจนสามารถทำการผ่าตัดที่แขนหรือขาได้ [กลับหัวข้อหลัก] |
|
การฝังเข็ม
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ได้มีการทำการฝังเข็ม ให้เกิดการชาและสามารถทำผ่าตัดได้ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ทางประเทศไทยได้ศึกษาและทดลองทำการผ่าตัดโดยฝังเข็ม เพื่อทำการผ่าตัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นต้นมา ในเวลานี้ การฝังเข็มเป็นงานที่ต้องค้นคว้าหาความรู้และความชำนาญอีกมาก การฝังเข็มที่ทำให้เกิดการชาระงับปวดได้นั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสียคือ
ข้อดี ๑. เป็นการทำให้ชาที่ปลอดภัย ไม่มีการแพ้ยา ไม่มีการใช้ยาเกินขนาด หรือน้อยไป ๒. เป็นวิธีทำง่าย ไม่ซับซ้อน ใช้เครื่องมือน้อย ๓. ราคาถูก ๔. นำเครื่องมือติดตัวไปในที่ต่างๆ ได้สะดวก ข้อเสีย ๑. บางครั้งการชาเป็นไปไม่ได้ ๑๐๐% ๒. การชาในแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน ๓. ยังมีการตอบสนอง จุก แน่น เวลาดึงอวัยวะภายใน ๔. ไม่มีการหย่อนตัวของกล้ามเนื้อ [กลับหัวข้อหลัก] |
|
การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาขณะได้รับยาดมสลบ
เมื่อผู้ป่วยได้รับยาสลบโดยวิธีสูดดม ยาสลบมีฤทธิ์แทรกซึมผ่านเยื่อบุถุงลมที่ปอดเข้าสู่กระแสโลหิต ส่วนยาสลบที่ให้โดยวิธีฉีดเข้าหลอดเลือดดำก็จะเข้าสู่กระแสโลหิตโดยตรง เมื่อยาสลบไหลเวียนผ่านไปตามกระแสโลหิตก็จะถูกดูดซึมที่อวัยวะต่างๆทั่วทั้งร่างกาย ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ที่ระบบประสาท ยาสลบมีฤทธิ์กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้หมดสติไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกใดๆ กดศูนย์ควบคุมการหายใจ กดการบีบตัวของหัวใจ และทำให้หลอดเลือดขยายตัว ผลของยาสลบที่กดระบบต่างๆ ในร่างกายจะแปรเปลี่ยนตามความเข้มข้นของยาสลบที่ได้รับสูดดม เมื่อความเข้มข้นของยาสลบในกระแสโลหิตเพิ่มมากขึ้นจะกดการทำงานของระบบประสาท ระบบหายใจ ระบบการไหลเวียนเลือด และระบบอื่นๆ มากขึ้น การให้ยาสลบ มากเกินไปจะทำให้คนไข้หลับลึกเกินต้องการ หายใจไม่พอหรือ
หยุดหายใจ และความดันเลือดตก แต่ถ้าให้ยาสลบน้อยเกินไป คนไข้จะรู้สึกตัวและตอบสนองต่อความเจ็บปวด หน้าที่ของวิสัญญีแพทย์และวิสัญญีพยาบาล คือ (๑) จะต้องรู้ว่าผู้ป่วยแต่ละรายนั้น ต้องการความเข้มข้นของยาสลบมากน้อยเพียงใด เพื่อให้พอเหมาะกับการผ่าตัดชนิดนั้นๆ (๒) ในระหว่างผ่าตัดต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดให้หลับในขนาดที่พอดี (๓) ช่วยการหายใจและให้ออกซิเจนให้พอกับความต้องการ (๔) รักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ และ (๕) ทดแทนน้ำและเลือดให้เพียงพอแก่ความต้องการในขณะผ่าตัด ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัยที่สุด ในระหว่างที่ได้รับยาสลบอยู่ ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ ผมคงจะไม่สามารถชี้นำว่าคุณควรจะเลือกวิธีใด วิธีหนึ่ง โดยเฉพาะ แต่ผมจะสาธยายกรรมวิธี และข้อดี ข้อเสีย ระหว่าง 2 วิธีนี้ให้คุณทราบ การใช้ยาสลบ ขายยาสลบ 1. การดมยาสลบ หรือ General anesthesia โดยวิธีนี้ วิสัญญีแพทย์ จะทำให้ผู้ป่วยสลบ ( สลบ มีระดับที่ลึกกว่า"หลับ" อยู่มากโข เพราะว่า"หลับ"สามารถปลุกได้ แต่"สลบ"จะไม่มีการตอบสนองต่อการเรียก และไม่มีการรับรู้ ไม่มีการฝัน เป็นเสมือนหนังที่ฟิล์มขาด แล้วต่อฟิล์มมาดูใหม่ ) โดยการฉีดยานำสลบเข้าไปในหลอดเลือดดำ จากนั้นจะให้ยาหย่อนกล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายเป็นอัมพาต แล้วจะสอดท่อช่วยหายใจ ผ่านปาก เข้าไปผ่านกล่องเสียง และไปอยู่ในหลอดลม เพื่อที่จะช่วยหายใจในระหว่างผ่าตัด เพราะระหว่างผ่าตัดนั้น กล้ามเนื้อทั่วร่างกายจะเป็นอัมพาตจากยาหย่อนกล้ามเนื้อ และร่างกายจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมการหายใจ จากผลของยาสลบ การดมยาสลบนั้นจะอาศัยยาหลายๆตัวช่วยเกื้อหนุนกัน ได้แก่ ยานำสลบ ยาหย่อนกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวด ยาดมสลบในรูปของไอระเหย เมื่อสิ้นสุดการผ่าตัด วิสัญญีแพทย์จะให้ยาแก้ฤทธิ์ยาหย่อนกล้ามเนื้อ และรอคอยให้ยาดมสลบหมดฤทธิ์ ผู้ป่วยจะค่อยๆฟื้นคืนสติ และเริ่มหายใจเอง จากนั้นวิสัญญีแพทย์จะถอดท่อช่วยหายใจออกมาจากหลอดลม ข้อดีของการวางยาสลบ ก็คือ 1. ผู้ป่วยไม่ต้องรับรู้ต่อเหตุการณ์ต่างๆในห้องผ่าตัด ( เหมือนหนังฟิล์มขาด ฉันใดฉันนั้น ) 2. วิสัญญีแพทย์สามารถควบคุมการหายใจ และระบบไหลเวียนได้ จึงเหมาะสมสำหรับการผ่าตัดในช่องท้อง หรือในช่องอก ข้อเสียของการวางยาสลบ จะมีมากและต้องทำใจยอมรับ เนื่องจากการใช้ยาหลายตัว และกรรมวิธีมากมาย จึงต้องมีผลข้างเคียงในลักษณะที่ต้องยอมรับ( จะเรียกว่าเป็นผลข้างเคียงที่ไม่อาจจะปฏิเสธหรือเลี่ยงได้ก็คงไม่ผิดนัก) และไม่ถือว่าเป็นอันตราย เนื่องจากจะหายได้เองในเวลาอันสั้น ได้แก่ 1. อาการเจ็บคอ ระคายคอ หรือ เสียงแหบ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการสอดใส่ท่อช่วยหายใจผ่านเข้าไปในหลอดลม อาการนี้อาจจะพบในบางราย แต่จะไม่นานเกินกว่า 24-48ชม. ก็จะหายไปได้เอง 2. อาการคลื่นไส้ อาเจียน อันเป็นผลโดยตรงจากยาแก้ปวด และยาดมสลบ ซึ่งมักจะมีผลข้างเคียงในเรื่องของการคลื่นไส้อาเจียนอยู่ไม่มากก็น้อย 3. มีความต้องการยาแก้ปวดในช่วงหลังการผ่าตัดสูงกว่าการใช้วิธีฉีดยาชาบล๊อคไขสันหลัง 4. อาจจะมีอาการวิงเวียน มึนงง ในช่วงพักฟื้นหลังการผ่าตัด ซึ่งเกิดจากผลข้างเคียงของยาสลบ 5. มีความเสี่ยงในเรื่องของการสำลักเศษอาหารที่ขย้อนออกมาจากกระเพาะอาหารในระหว่างที่กำลังจะเริ่มดมยาสลบ ทั้งนี้ขึ้นกับว่าผู้ป่วยงดน้ำงดอาหารมานานพอหรือไม่ ในทางปฏิบัติจะต้องงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6 ชม. ก่อนได้รับการวางยาสลบ ----------------------------------------------------------------------------------- 2. การให้ยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่ หรือ Regional anesthesia วิธีที่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัดบริเวณขาหรือสะโพก หรือ แม้แต่การผ่าตัดช่องท้องส่วนล่าง เช่นการผ่าคลอด มีกรรมวิธีในการปฏิบัติได้ 2 อย่าง ได้แก่ 2.1 Epidural block เป็นการฉีดยาชาเข้าไปช่องเหนือช่องน้ำไขสันหลัง 2.2 Spinal block เป็นการฉีดยาชาเข้าไปในช่องน้ำไขสันหลัง โดยทางปฏิบัติแล้ว จะขึ้นกับความชอบของวิสัญญีแพทย์ แต่โดยทั่วไปแล้ว การฉีดยาชาทางช่องน้ำไขสันหลัง หรือ Spinal block จะเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากกว่า เพราะว่าใช้เวลาในการทำสั้นกว่า ออกฤทธิ์เร็วและแน่นอนกว่า กรรมวิธีในการทำ ก็จะให้ผู้ป่วยนอนตะแคง ก้มหน้าเอาคางชิดออก งอสะโพก งอเข่า เอาเข่าชิดท้อง หลังงอเหมือนกุ้ง เพื่อที่จะให้ช่องระหว่างกระดูกสันหลังเปิดกว้างที่สุด วิสัญญีแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณผิวหนังที่จะฉีดยา เพื่อลดอาการเจ็บในขณะที่ปักเข็มที่จะใช้ทำการblock แต่สำหรับวิสัญญีแพทย์ที่มีความชำนาญบางท่าน อาจจะเลือกที่จะปักเข็มblockไปในทีเดียว เพราะว่าเจ็บเพียงครั้งเดียวเหมือนๆกัน นอกไปจากเข็มที่ใช้ในการบล๊อคจะมีขนาดที่เล็กมาก คือ 25G หรือ บางท่านอาจจะใช้เข็มที่เล็กว่านี้อีก คือ 27G ซึ่งเจ็บน้อยกว่าการแทงน้ำเกลือ หรือ เจาะเลือดด้วยซ้ำไป ข้อดีของวิธีนี้ 1. กล้ามเนื้อของขาจะหย่อนตัวได้ดีกว่าการวางยาสลบ ศัลยแพทย์สามารถผ่าตัดได้สะดวกกว่า 2. ความต้องการยาแก้ปวดในช่วงหลังผ่าตัดจะน้อยกว่าการวางยาสลบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากระบบประสาทถูกสกัดจากยาชาก่อนที่จะเกิดบาดแผล ผิดกับการวางยาสลบ ซึ่งยาสลบจะไปกดสมองไม่ให้รับรู้ความเจ็บปวด แต่ระบบประสาททั่วร่างกายยังทำงานของมันอยู่ รวมไปถึงระบบประสาทไขสันหลัง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญเกี่ยวกับความเจ็บปวดหลังผ่าตัด 3. หากผู้ป่วยกลัว หรือตื่นตระหนก ก็อาจจะให้ยานอนหลับ ( คนละชนิดกับยาสลบนะครับ )ให้หลับ เพื่อลดความกลัวลงได้ ข้อเสีย 1. หลังผ่าตัดจะขยับขาไม่ได้อยู่ประมาณ 2-4 ชม ( นับจากเริ่มวางยาชา ) ในบางรายอาจจะรู้สึกรำคาญ หรือ เมื่อยขา โดยเฉพาะในช่วงที่ยาชากำลังจะหมดฤทธ์ หรือบางคนอาจจะรู้สึกรำคาญ จากความรู้สึกเหมือนกับขาที่ยังงออยู่ หรือ ยกลอย แต่ไม่สามารถขยับขาได้ 2. อาการปัสสาวะไม่ออก ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่มักจะเกิดขึ้นในช่วง 12 ชม.แรก ซึ่งมักจะได้รับการสวนสายปัสสาวะช่วย 3. อาการปวดหลัง หรือ เมื่อยหลัง อาจจะเป็นได้ในช่วงวันแรก ทั้งนี้เนื่องจากยาชาอาจจะบล๊อคประสาทไขสันหลังในระดับที่สูงขึ้นมา ทำให้กล้ามเนื้อหลังบางส่วนเป็นอัมพาตชั่วคราว ทำให้กระดูกสันหลังถูกทำให้ผิดแนวไปได้เล็กน้อย( เนื่องจากล้ามเนื้อที่คอยพยุง อ่อนแรงลง ) ซึ่งอาการปวดหลังหรือเมื่อยหลังนี้ก็สามารถพบในการวางยาสลบได้เช่นกัน เพราะว่ากล้ามเนื้อหลังทั้งหมดจะเป็นอัมพาตจากยาหย่อนกล้ามเนื้อ ทำให้แนวของกระดูกสันหลังทั้งหมดอาจจะวางแนวผิดไปได้เล็กน้อยเช่นกัน แต่อาการนี้จะไม่เป็นแบบถาวร อีกอย่างหนึ่งมนุษย์เป็นสัตว์ที่ยืนบนขาเพียง 2 ข้าง เป็นสัตว์ยืนหลังตรง มนุษย์จึงมีโรคที่เกิดจากแรงดึงดูดของโลกอยู่อย่างน้อย 2 โรค ( ซึ่งสัตว์ที่ยืน 4 ขา ไม่เคยเป็น ) ได้แก่ ริดสีดวงทวาร และ การปวดหลัง จึงเป็นเรื่องที่คนปกติทั่วๆไปจะปวดหลังได้โดยที่ไม่ต้องถูกบล๊อคหลังมาก่อน ------------------------------------------------------------------------ เอาหละ ที่เหลือก็เป็นเรื่องที่คุณจะต้องเลือกเองแล้วครับว่าคุณจะใช้วิธีใด สุดท้าย คุณเองก้อมีสิทธิ์จะเป็นผู้เลือกเช่นกันครับ ว่าจะเลือกใช้วิธีไหน ( สิทธิผู้ป่วยครับ ) แต่ถ้าหากให้หมอเป็นผู้เลือก ก็จะเลือกวิธีการบล๊อคไขสันหลัง เนื่องจากเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายกว่า และมีระดับความปลอดภัยที่สูงกว่า มีความเสี่ยงต่อการสำลักน้อยกว่า และต้องการดูแลหลังการผ่าตัดในห้องพักฟื้นสั้นกว่า รวมไปถึงผู้ป่วยเองก็ต้องการยาแก้ปวดหลังผ่าตัดน้อยกว่าการวางยาสลบด้วย สุดท้ายก็คือ คุณต้องเลือกเองนะครับ |